วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กินผลไม้ตอนไหน...ได้ประโยชน์สูงสุด


กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด
    ไดมอนด์เสนอแนว ความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่าย ของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกาย จะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้ อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้ พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหาร อื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไป ตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลา ย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็ก ได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหาร และผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้ เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้ จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กิน ผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น
    ดังนั้นหากใครที่กินอาหาร แล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้า นั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย
    ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่น จนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่า ของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อย ต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่ สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเรา สามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อย กินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหาร สำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%
    ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ใน สภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือก ดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหาร แบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็น วันที่แจ่มใสได้อีกด้วยแนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทาง หนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

ผลไม้ช่วยได้



ประโยชน์มากมายอย่างนี้ อย่าลืมหันมาทานผลไม้กันให้มากขึ้นนะคะ



ลิ้นจี่ต้านมะเร็ง


 ลิ้นจี่ Litchi chinensis Sonn.           ชื่ออื่น Lychee  ลี่จือ (จีน) Alupag (ฟิลิปปินส์) เป็นพืชชนิดเดียวของจีนัส Litchi ในวงศ์ Sapindacese
           ลิ้นจี่เป็นไม้เขตร้อนมีต้นกำเนิดที่ประเทศจีนตอนใต้ ไปถึงทางใต้ของประเทศอินโดนีเซียและทางตะวันออกของหมู่เกาะฟิลิปปินส์  ปัจจุบันมีการปลูกลิ้นจี่ทางตอนใต้ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

           ชื่อลิ้นจี่ในภาษาจีนมีความหมายว่า " ของขวัญเพื่อชีวิตที่เบิกบาน" ปัจจุบันเป็น "ผลไม้แห่งห้วงรัก" ของจีน


คุณค่าทางอาหาร           ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมหวานชวนกิน คนไทยกินผลสด และนำลิ้นจี่มาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มแก้กระหายน้ำ  รสชาติหอมหวานชื่นฉ่ำใจ

ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามิน  บี 1 ในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีไนอะซีน ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงานช่วยระบบย่อยอาหาร



ลิ้นจี่ต้านมะเร็งเต้านม           เนื้อลิ้นจี่และเปลือกลิ้นจี่มีสารฟลาโวนอยด์หลายชนิด งานวิจัยจากประเทศจีน 2 ชิ้นพบว่าส่วนเพอริคาร์พ (เปลือกและเนื้อผล) ของลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนแอนโทไซยานินที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน3-  รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน-3กลูโคไซด์ เควอเซทิน-3- รูติโนไซด์ และเควอเซทิน-3-กลูโคไซด์ สารเหล่านี้แสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นที่ดี โดยในกลุ่มฟลาโวนอลพบว่าโพรไซยาไนดินบี 2 กำจัดไฮดรอกซี่เรดิคัลและซูปเปอร์-ออกไซด์แอนอิออนได้ดีที่สุด
           ส่วนโพรไซยาไนดินบี 4 โปรไซยาไนดินบี 2 และอีพิคาเทชินมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งชนิดอื่นๆ อีก และมีพิษต่อเซลล์ปกติน้อยกว่ายาพาซิทาเซลที่ใช้ในปัจจุบัน


ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสมกับการรักษารูปร่าง ลิ้นจี่ 1 ถ้วย (6 ผล ไม่แกะเมล็ดออก) ให้พลังงานเพียง 125  แคลอรี มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม ลิ้นจี่มีวิตามินบี 2 โพแทสเซียม และมีวิตามินซีสูงมาก กินลิ้นจี่เพียงวันละ 3 ผลก็ได้วิตามินซีครบถ้วนตามความต้องการใน 1 วัน เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยบำรุงหลอดเลือด กระดูกและฟัน ในฤดูลิ้นจี่จึงควรกินลิ้นจี่แทนวิตามินซีสังเคราะห์สักระยะหนึ่ง

           เนื้อในผล 
กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน  ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
           ประเทศจีนใช้ชาเปลือก ลิ้นจี่บรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส เมล็ดมีฤทธิ์แก้ปวดบวม โดยใช้บดเป็นผงชงน้ำดื่ม หรือใช้พอกบริเวณมีอาการ ชาต้มรากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลิ้นจี่มีปริมาณเส้นใยอาหารสูง มีปริมาณพลังงาน ต่ำ และเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญสารอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ  ปัจจุบันจึงมีการกล่าวอ้างถึงสรรพคุณลิ้นจี่ในผลิตภัณฑ์ช่วยควบคุมอาหารและ ลดน้ำหนัก แต่ไม่พบที่มาของสรรพคุณในการเผาผลาญสารอาหารดังกล่าว

เชอร์รี่ผลไม้ดีดี…วิตามินซีสูงงง


                        เชอร์รี่เป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน สาวๆญี่ปุ่นจะนิยมทานกันสดๆ เพราะจะมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพอย่างมาก หรือเอามาทำเป็นเครื่องดื่มก็ช่วยเพิ่มความสดชื่นสดใสให้กับคุณสาวๆได้ไม่น้อยเลย



 วิธีทำน้ำเชอร์รี่

ส่วนผสม
      เชอรี่100 กรัม
      น้ำเชื่อม 30 กรัม
      น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม
      เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม

วิธีทำ
            เลือกเชอรี่เด็ดก้านล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่นใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด นำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าต้มสุกส่วนที่เหลือใส่ลงไปคั้นกับการเชอรี่ให้แห้งมากที่สุด นำน้ำเชอรี่ที่คั้นได้ใส่น้ำเชื่อม เติมเกลือ ชิมรสตามใจชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
      คุณค่าทางอาหาร     มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
      คุณค่าทางยา           ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง



ประโยชน์ดีดีที่ได้จากเชอร์รี่
              เชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีวิตามินสูงงงงง….ที่สุดในบรรดาผลไม้ต่างๆ มีวิตามินซีสูงกว่าส้มประมาณ 30-80 เท่า แล้วแต่พันธุ์ของเชอร์รี่ เชอร์รี่ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด คือเชอร์รี่กึ่งสุกกึ่งดิบ โดยสังเกตว่าเป็นช่วงที่มีสีเขียวปนส้ม วิตามินซีในเชอร์รี่จะช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ดูแลความงามผิวพรรณ ชะลอความแก่ ต้านอนุมูลอิสระ และต้านมะเร็ง

มหัศจรรย์ของมะเฟือง...ควรลอง





คุณ ๆ รู้จักมะเฟืองใช่ไหมคะ  มะเฟืองมิใช่เป็นเพียงไม้มงคลเท่านั้น ดูแค่รูปร่างของมะเฟือง ก็มหัศจรรย์พออยู่แล้ว ลองมาดูสรรพคุณของมะเฟืองบ้าง ว่าจะเด็ดสะระตี่ขนาดไหน


เมื่อมีการพบปะกันในหมู่เพื่อน ซึ่งเริ่มจะมากด้วยวัยกันแล้ว หัวข้อสนทนาดูจะไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ  จึงได้รู้ว่าผู้เฒ่าคู่หนึ่ง มีอาการปวดขา ปวดหลังและสารพัดจะปวด  เฒ่าชายปวดขา ข้อเท้า และฝ่าเท้าเหมือนมีเข็มมาทิ่มแทงสักร้อยเล่ม นอนไม่หลับมาหลายเพลา  ลูกชายผู้กตัญญูก็นวดเฟ้นให้ แต่ก็ไม่หาย เท้ากลับบวมอลึ่งฉึ่ง ลูกชายให้วิตกกังวลยิ่งนัก จึงเสาะหาความรู้จาก google  ก็เลยรู้ว่าพ่อของเขาเป็นโรคเกาต์ขั้นรุนแรงแล้ว เขาจึงค้นวิธีรักษา  ก็พบว่ารักษาด้วยเจ้ามะเฟืองนี่แหละค่ะ แต่ต้องเป็นมะเฟืองเปรี้ยว นะคะ มะเฟืองหวานเจื้อยน่ะ ไม่ได้ผลค่ะ   


วิธีทำก็คือนำมะเฟือง เปรี้ยวสุกจำนวน 1 ผล   เกลือป่นเล็กน้อย น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุก กะให้ได้ 2 แก้วต่อวัน ปั่นให้เข้ากันจนละเอียด กินครั้งละเกือบเต็มแก้วเช้าเย็นก่อนอาหาร ทำกินติดต่อกัน 6 วัน เจ้าของสูตรบอกว่าอาการของ โรค เกาต์ จะหายได้ ใครที่เป็น โรค เกาต์ ทดลองทำกินไม่อันตรายอะไร



ลูกชายต้มให้เฒ่าชายกิน อาการปวดขาปวดข้อก็ทุเลา และหายได้ราวปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น จึงต้มให้เฒ่าหญิงกินบ้าง เฒ่าหญิงซึ่งปวดหลังเรื้อรัง และมีอาการของโรคกระดูกพรุนก็หายจากการปวดเช่นกัน  เขาจึงได้นำสรรพคุณของมะเฟืองสุกมาเล่าต่อ หากมีใครเป็นโรคเกาต์  หรือมีอาการปวดกระดูก ปวดร่างกายจะลองนำสูตรนี้ไปใช้ก็ไม่น่าจะเสียหายนะคะ  หรือถ้าลองกินดู ถ้าหายก็บอกต่อกันบ้างเพื่อเป็นวิทยาทานก็แล้วกันค่ะ


ทีนี้ลองมาทำความรู้จักกับเจ้ามะเฟืองเปรี้ยวกันหน่อยดีไหม อันว่ามะเฟือง หรือ AVERRHOA CARABOLA LINN. อยู่ในวงศ์   AVERRHOACEAE  มีคุณประโยชน์ทางยาอย่างมหาศาลค่ะ  เราสามารถใช้หลาย ๆ สรีระของคุณมะเฟืองให้เป็นประโยชน์ได้ อาทิเช่น     
          ยอดมะเฟือง กับยอดมะพร้าวต้มผสมกันกินแก้ไข้หวัดใหญ่

ใบต้มอาบแก้ตุ่มคัน

แก่นและรากต้มกินแก้ท้องร่วง แก้เจ็บเส้นเอ็น

ผลสระผมบำรุงเส้นผม ขจัดรังแคได้


ปัจจุบันผลมะเฟืองเปรี้ยวหาซื้อยากมาก ส่วนใหญ่จะมีแต่ผลมะเฟืองหวานขาย ใครต้องการต้น มะเฟือง เปรี้ยว ไปปลูก มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง "คุณก็อต-คุณหลง" ตรงกันข้ามโครงการ 15 ราคาสอบถามกันเอง อันนี้เขาบอกต่อกันมา ไม่ได้ค่าโฆษณานะคะ   
อ้อ..ขอแถมอีกนิด  สำหรับมะเฟืองหวาน เอามาทำแช่อิ่มอร่อยนักแล ลูกน้ำชอบกินมากค่ะ  ผู้รู้ทางด้านโภชนาการเช่นคุณสาวอิสานอินเตอร์ลองทำดูนะคะ จะได้ตามไปลองชิม 


สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร


ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

สับปะรด
เป็นพืชที่รสชาติดี

ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือ ทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย


สารอาหารที่อยู่ในสับปะรดมีประโยชน์จำนวนมาก
และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด




การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ
จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน


การรับประทานที่ถูกวิธี คือ

ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน


ทราบถึงประโยชน์ของสับปะรดกันแล้ว ก็อย่าลืมหันมารับประทานสับปะรดกันเยอะ ๆ



วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กล้วย( เคล็ดลับหน้าใส )



กล้วยมาส์กผิวนุ่มชุ่มชื้น

ส่วนผสม กล้วยหอมสุก 1 ผล, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 1 ฟอง, ดินสอพองบด 1 ช้อนโต๊ะ, โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.ตีไข่ขาว เทโยเกิร์ตและน้ำผึ้งลงไป ตามด้วยดินสอพอง คนให้เข้ากันจนเนื้อเนียนละเอียด

2.บดกล้วยหอมสุกจนเนื้อละเอียดเนียน แล้วลงผสมกับส่วนผสมในข้อ 1

เมื่อได้ส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ทาส่วนผสมที่ได้บนใบหน้า คอ และไหล่ นวดเบา ๆ ให้ทั่ว ทาให้หนาพอควร ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น (แต่ไม่อุ่นจัด)

ทำเป็นประจำประมาณ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ผิวหน้าจะดูนุ่มนวลและสดใสมากขึ้น



 

 

 

กล้วยไข่ไร้สิว

สรรพคุณ ช่วยสมานผิว ขจัดสิวเสี้ยน

ส่วนผสม กล้วยไข่ 2 ผล / ไข่ไก่เฉพาะไข่ขาว 1 ฟอง / น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีผสม นำกล้วยไข่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วใส่ลงในโถปั่นใส่ไข่ขาวปั่นจน ละเอียดแล้วยกลง พักสักครู่ แล้วใส่น้ำผึ้งและน้ำตาลทรายแดงตามลงไป คนให้เข้ากันอย่างช้าๆ

วิธีใช้ นำ ครีมพอกให้ทั่งหน้าเว้นดวงตาใช้นิ้วค่อยๆถูนวดเบาๆ วนทวนเข็มนาฬิกาอย่างช้าๆทำอย่างนี้ประมาน1-2นาทีแล้วทิ้ไว้สักคู่จนรู้สึก ตึงจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดเราจะสึกถึงความสะอาดมากเลย



สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะละกอ


               วันนี้เรามีอีกหนึ่งสรรพคุณของมะละกอและประโยชน์ของมะละกอมาบอกเล่าเก้าสิบให้ทุกคนผู้รักสุขภาพได้ฟังกัน หรือใครก็ตามที่ชอบนึกยี้ผลไม้อย่างมะละกอล่ะก็อาจจะต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้รู้ถึง สรรพคุณของมะละกอ และ ประโยชน์ของมะละกอ และ สรรพคุณของมะละกอ และ ประโยชน์ของมะละกอ ที่เรานำมาบอกกันในวันนี้นั่นก็คือ ผลไม้อย่างมะละกอสุกนั่นเองค่ะ หากเป็นมะละดิบอย่างส้มตำหลาย ๆ คนคงจะไม่ค่อยปฏิเสธแต่หากเป็นเป็นมะละกอสุกหลายคนบ่นร้องยี้ซะงั้น นั้นเพื่อให้คุณเปลี่ยนใจหันมารับประทานมะละกอสุขภันมากขึ้นก็มาดู สรรพคุณของมะละกอ และ ประโยชน์ของมะละกอ กันเลยค่ะ





            มะละกอสุก ๆ เนื้อสีส้มแดงนี่แหละขอบอกว่าเป็นผลไม้ที่ดีที่สุดของความมีประโยชน์ทีเดียว ใครไม่กินก็บอกได้เลยว่า คุณกำลังพลาดของดีชนิดที่สุขภาพไม่น่าให้อภัยเลย มะละกอสุกกินง่ายกว่ามะละกอดิบตั้งเยอะสามารถปอกเปลือกแล้วลำเลียงลงกระเพาะได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการปรุงแต่งแต่อย่างใด เป็นอาหารบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างมาให้เรา ฉะนั้นเรามาว่ากันถึงความอร่อยและมีประโยชน์ของมะละกอกันเลยดีกว่า

          นอกจากเนื้อหวาน ๆ แสนอร่อยแล้วทุกส่วนของมะละกอยังสามารถนำมาใช้ทำยาได้ ผลการวิจัยพบว่า ประโยชน์ของมะละกอมีอยู่มากมายตั้งแต่ช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี บรรเทาอาการท้องผูกซึ่งเป็นที่มาของโรคริดสีดวงทวาร ป้องกันอาการตับโต เป็นยาบำรุงหัวใจ ตับ และสมอง

           สรรพคุณและประโยชน์ของมะละกอยังเผื่อแผ่ไปถึงเด็กทารกที่ดูดนมมารดาอีก เพราะช่วยกระตุ้นให้แม่มีน้ำนมมากขึ้นป้องกันโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อจากจุลินทรีย์ที่อยู่ภายในลำไส้ เรื่องความสวยงาม มะละกอยังมีเอนไซม์ที่ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวหน้าเนียนขาวนุ่มชุ่มชื่นก็นำมะละกอสุกครึ่งถ้วยผสมกับน้ำผึ้ง แท้ 1 ช้อน นมสดอีก 1 ช้อน ปั่นเข้าด้วยกันเป็นครีมข้น ทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 10 - 15 นาทีแล้วล้างออก เท่านี้ก็เห็นผลทันตาและทันใจทีเดียว

เป็นไงละคะ คำโฆษณาพอจะชวนเชื่อให้คุณหันมาชอบมะละกอกันได้บ้างหรือยัง







น้ำแตงโม....

.....




           ตงโม ผลไม้ลูกกลม ลูกรี ตลอดจนลูกทรงกระบอก เป็นพืชไม้เถาตระกูลเดียวกับพืชตระกูลแตง เช่น แตงกวา แตงแคนตาลูป และฟัก แตงโมเป็นพืชเมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาตอนเหนือและตะวันออกกลาง มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Citrullus vuigaris ลำต้นเป็นเถาเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ใบมีลักษณะเว้าลึก 3-4 หยัก ก้านใบยาว ทั้งเถาและใบมีขน
          แตงโม มีมากมายหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทาน พันธุ์ที่นิยมกันมาก ก็มีแตงโมจินตหรา แตงโมตอปิโดและแตงโมที่มีเนื้อสีเหลือง หรือแตงโมน้ำผึ้ง ส่วนใครที่ไม่ชอบรับประทานแตงโม เพราะรำคาญเมล็ดอันมากมายของมัน เดี๋ยวนี้เขาก็มีแตงโมพันธุ์ไม่มีเมล็ดให้เลือกซื้อเหมือนกัน แต่สนนราคาก็แพงน่าดู
          แตงโม ไม่เพียงมีรสหวานและเย็นเท่านั้น ยังมีสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซึ่งมีมากเป็นพิเศษในเนื้อแตงโมที่มีสีแดงๆ
          แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือนำมาทำเป็นน้ำแตงโมปั่น น้ำแตงโมเชค ดื่มแก้กระหาย หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดื่มกันได้ตลอดทั้งวัน อาจเป็นช่วงระหว่างมื้ออาหาร หรือก่อนนอนก็ได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือหลังจากการผ่าตัด เพราะน้ำแตงโมช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น
          น้ำแตงโม ยังช่วยทำให้ร่างกายขับปัสสาวะได้ดี จึงมีผลช่วยล้างไต ล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริค อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์ สำหรับคนผิวหนังแห้งกร้าน อันเนื่องมาจากภาวะเลือดเป็นกรด เพราะกินเนื้อสัตว์ ของทอด ขนมหวาน อาหารแป้งขัดขาว และเครื่องดื่มพวกกาแฟ โคล่ามากเกินไป น้ำแตงโมช่วยได้ นอกจากนี้ในเนื้อแตงโมยังมีเอ็นไซม์ที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารอีกด้วย ก่อนกินข้าวก็ดื่มน้ำแตงโมสักแก้วจะได้เจริญอาหาร
          การเลือกซื้อแตงโม ต้องซื้อที่มีผิวเปลือกเรียบ ไม่เป็นรอย รูปทรงสวยงาม ถ้าเลือกซื้อที่ผ่าแล้วได้ยิ่งดี เพราะจะได้เห็นลักษณะของเนื้อแตงโมได้ เนื้อแตงโมต้องมีสีแดง เนื้อเนียน ไส้ไม่ส้ม มีรสหวานเย็น


วิธีทำน้ำแตงโม




 

น้ำแตงโมปั่น
           วิธีทำ  เนื้อแตงโม เอาเมล็ดออกหั่นชิ้นเล็ก 2 ถ้วย น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้ว ดื่มทันที








กินองุ่นกันเถอะนะ





     ผลจากการสำรวจทั่วโลกต่อความชื่นชอบในองุ่นพบว่า..ผู้คนในแต่ละประเทศมีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันในการเลือกชนิดขององุ่นในการรับประทาน ตัวอย่างเช่น ชาวออสเตรเลียจะเลือกองุ่นที่มีเนื้อแน่น ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นชอบองุ่นที่มีลูกขนาดใหญ่ สำหรับผลการสำรวจในประเทศไทยพบว่าร้อยละ 88 ของชาวไทยในความสำคัญกับความหวานจากองุ่นที่มีคุณภาพ รองลงมาคือความสด


        องุ่นนับเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการให้คุณค่าทางโภชนาการและการบำรุงร่างกาย โดยองุ่นนั้นประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อว่า Phytonutrients มีคุณสมบัติในการต่อต้านโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โดยการปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายของอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจาก อากาศเป็นพิษ เช่น ควันพิษในเมืองใหญ่ หรือรังสีต่างๆ ที่เราต้องเผชิญในสถานที่ทำงานในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่รังสีจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องถ่าเอกสาร และจากโทรศัพท์มือถือ



  ผิวขององุ่นประกบอด้วยสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า Reseratrol ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถรักษาภาวะอักเสบ ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ตายก่อนเวลาอันสมควร อีกทั้งช่วยทำให้อายุยืนยาวขึ้นอีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสาเหตุให้ไวน์แดงถูกยกย่องว่ามีประโยชน์มากกว่าไวน์ขาว เพราะไวน์แดงใช้ผิวขององุ่นเป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต ในขณะที่ไวน์ขาวไม่ได้ใช้ผิวองุ่นในกระบวนการผลิต


ทุเรียนราชาแห่งผลไม้


ทุเรียนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้
             ทุเรียนมีมากกว่า 30 ชนิด มีอย่างน้อย 9 ชนิดที่รับประทานได้ ทุเรียนมีสายพันธุ์ประมาณ 100 สายพันธุ์ให้ผู้บริโภคเลือกรับประทาน ในประเทศไทยพบทุเรียนอยู่ 5 ชนิด มิใช่ว่าจะมีแต่เพียงเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อยเพียงอย่างเดียว คุณค่าอย่างอื่นของทุเรียนก็มีด้วยไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร ไขมัน โปรตีน น้ำ เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน วิตามินซีแคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม
             นอกจากนั้นทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงทั้งยังอุดมไปด้วยกำมะถัน และคอเลส เตอรอล ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานเพราะหากกินเข้าไประดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อย่างรวดเร็วยังทำให้ร้อนในและรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
            ในตำราสมุนไพรไทย กล่าวไว้ว่า ส่วนต่าง ๆ ของทุเรียนสามารถนำมาใช้เป็นยาได้ โดยใบมีรสขม, เย็นเฝื่อน มีสรรพคุณแก้ไข้, แก้ดีซ่าน, ขับพยาธิ และทำให้หนองแห้ง เนื้อทุเรียนมีรสหวาน, ร้อน มีสรรพคุณให้ความร้อน, แก้โรคผิวหนัง, ทำให้ฝีแห้ง และขับพยาธิ เปลือกทุเรียนมีรสฝาดเฝื่อนใช้สมานแผล, แก้น้ำเหลืองเสีย, พุพอง, แก้ฝี, ตาน, ซาง, คุมธาตุ, แก้คางทูม และไล่ยุงและแมลง ส่วนรากมีรสฝาดขมใช้แก้ไข้และแก้ ท้องร่วง
           คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถวบ้านเรา ลาว เขมร พม่า นี่แหละ เชื่อว่าทุเรียนมีคุณสมบัติให้ความร้อนซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะเหงื่อออก มากกว่าปกติ วิธีโบราณที่จะลดผลกระทบจากความร้อนนี้คือรินน้ำลงในเปลือกทุเรียนหลังจาก เนื้อถูกรับประทานแล้วและดื่มน้ำนั้น อีกวิธีคือรับประทานทุเรียนไปพร้อมกับมังคุดซึ่งถูกคิดว่ามีคุณสมบัติให้ ความเย็น มีความเชื่อโบราณที่ห้ามผู้หญิงมีครรภ์หรือคนที่มีความดันเลือดสูงรับประทาน ทุเรียน
ในบางที่เชื่อว่าทุเรียนจะเป็นอันตรายเมื่อรับประทานร่วมกับกาแฟหรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อันนี้บ้านเราเองก็เชื่อ เขาว่า ห้ามกินเหล้ากับทุเรียน เพราะมัน “ร้อน” ทั้งคู่ เดี๋ยวหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี…คือบางทีรับประทานทุเรียนเพียงอย่างเดียวก็อาจตายได้ หากรับประทานมากเกินไป ไม่รู้จักความพอดี ฉะนั้น อะไร ที่มันมากเกินไปมันก็ไม่ดี เดินสายกลางดีกว่าพระท่านสอนไว้
           เรื่องนี้สิสำคัญ สำหรับบางคนนะ คือ ชาวชวาเชื่อว่าทุเรียนมีคุณสมบัติกระตุ้นความต้องการทางเพศเขาบอกว่า “ทุเรียนตก โสร่งถกขึ้น” อุ๊ย…มิน่าล่ะ!
นอกจากนี้แล้ว ทุเรียนยังสามารถนำไปแปรรูปและทำอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น ทุเรียนกวนอันนี้ก็อร่อย ทุเรียนกรอบก็มี แยมทุเรียนก็ได้ นอกจากอาหารหวานแล้ว อาหารคาวก็นำทุเรียนมาทำได้ ก็ทุเรียนอ่อนไงนำมาแกงได้



           เปลือกทุเรียนที่เราเคยเห็นเขาทิ้งเขาขว้างหลังจากที่ปอกเปลือกให้เรา แล้ว เชื่อไหมว่า เขาสามารถนำเปลือกทุเรียนมาทำเป็นกระดาษได้ โดยนักวิจัยจากกลุ่มวิจัยพัฒนาการแปรรูปผลิตผลเกษตร สำนักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร



มะพร้าวผลไม้สารพัดประโยชน์



         ธรรมชาติบำบัดถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย
        มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มากแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ฯลฯ
มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง



        น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่ามะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่ามะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ
        สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
        แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน
สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กถ้า ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด ให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียว ครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา
น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย
          เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว
          น้ำมะพร้าวเปิดลูกแล้วควรดื่มเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ถ้าเราตัดหรือหั่นผลไม้ อย่าทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม ควรกินให้หมดทีเดียว ผลไม้แต่ละอย่างมีพลังชีวิต ถ้ากินผลไม้สุกจากต้นจะได้รับพลังชีวิตสูง หากเก็บทิ้งค้างไว้ พลังชีวิตของผลไม้จะลดต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เก็บ
ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าวควรต้องระวังเรื่องสารฟอกขาวหากเป็นไปได้ควรซื้อเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง เมื่อต้องการดื่มค่อยตัดทีละลูกจากทะลาย

มะพร้าวไม่ได้มีประโยชน์แค่ผลเท่านั้นยังมีส่วนอื่นๆอีก เช่น

ราก  - ใช้แก้พิษไข้ แก้ท้องเสีย โดยนำรากมาฝนกับน้ำข้าวกินดับพิษไข้ พิษผิดสำแดง
น้ำมะพร้าว  - ก็ถือว่าเป็นยา ใช้บำรุงธาตุไฟ แก้เลือดกำเดา ใช้ทดแทนน้ำที่เสียไปขณะท้องเสียโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ใช้เป็นน้ำกระสายยาหอม แก้อาการอ่อนเพลีย
ดอก - ใช้แก้ท้องเสีย แก้ริดสีดวงทวาร แก้ปากเปื่อย แก้โลหิตเป็นพิษ ต้มอมแก้ปากเปื่อย
เนื้อมะพร้าว  - ใช้แก้อาการนอนกัดฟันในเด็ก
น้ำมันมะพร้าว - ใช้ผสมยาหลายชนิด ส่วนมากเป็นยาทา
ผงถ่านจากกะลามะพร้าว  - แก้ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เล่ากันว่าในการกระเบิดของโรงไฟฟ้าที่เชอร์โนบิล มีการใช้ผงถ่านจากกะลามะพร้าวลดปริมาณกัมมันตภาพรังสีในร่างกายผู้ป่วยลงไปได้ 500-1000 เท่า

แอปเปิ้ล...ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก


     การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

     การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

     เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

    
        กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง        
     แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

      พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

      เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

       นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ